เกมส์

รวมโปร

รวมรีวิว

ลงขายฟรี

วิธีสั่งซื้อ
ทางลัด
กำลังโหลดหน้าเพจ
พระศาสนจักรคาทอลิก อาณาจักรสวรรค์

นักบุญ (Saints)

นักบุญ

แชร์ 20

นักบุญหมายถึงใคร

นักบุญมีกล่าวถึงอยู่แล้วในพระคัมภีร์ไบเบิล ทั้งนี้พระศาสจักรคาทอลิกและพระศาสนจักรออธอดอกซ์ใช้คำ นักบุญ (Saints) ส่วนคริสตจักรโปรแตสแตนท์ในภาษาไทยใช้คำว่า 'ธรรมิกชน (Saints)'

นักบุญ หรือ ธรรมมิกชน หมายถึง บุคคลปุถุชนทั่วไป ผู้มีความเชื่อในพระตรีเอกานุภาพจนล้นออกมาที่การประพฤติในชีวิต หรือ ได้แสดงการยืนยันถึงความเชื่อในพระตรีเอกนุภาพจนต้องถึงแก่ความตาย

เมื่อนักบุญเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว ก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ทันที โดยจิตวิญญาณไม่ต้องรอการพิพากษาอีกต่อไป พระเจ้าจะรับเขาไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์เลย เพื่อเป็นธรรมมิกชนร่วมกับบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า เป็นบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงแยกไว้ต่างหากเพื่อเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์ของพระองค์



มีใครบ้างที่เป็นนักบุญ

บรรดาอัครสาวกทุกคน (ยกเว้น ยูดาส) ได้รับการยกขึ้นเป็นธรรมิกชนโดยพระเจ้า เพราะทุกคนได้ยอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อ และ บุคคลอีกมากมายที่ปรากฏในพระคัมภีร์ก็ได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญ เช่น อาโรนซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์ ,เอลียาห์ซึ่งพระเจ้ารับเขาขึ้นสวรรค์โดยรถม้าเพลิง , เอโนค ผู้ที่พระคัมภีร์กล่าวไว้สั้น ๆ ว่า “เขาเดินไปพร้อมกับพระเจ้า”

ตลอดอายุของพระศาสนจักรที่แผ่ขยายไปทั่วโลกกว่า 2,000 ปี ก็ได้เกิดนักบุญ (ธรรมิกชน) อีกจำนวนมาก มาจากเชื้อชาติต่าง ๆ เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น ฯลฯ นับรวม ๆ แล้วมีนักบุญมากกว่า 10,000 กว่าองค์



สิทธิ์อำนาจในการประกาศเป็นนักบุญ

พระศาสนจักรไม่ได้มีสิทธิ์เลือกว่าใครจะเป็นนักบุญ หรือ แม้แต่กระทั่งแต่งตั้งให้ใครเป็นนักบุญ สิ่งที่พระศาสนจักรทำ คือ เป็นผู้รับรู้และประกาศยืนยันเท่านั้น โดยพระศาสนจักรเป็นผู้ประกาศยืนยันถึงจริยวัตรของบุคคลผู้นั้นเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ว่า เป็นตัวอย่างความประพฤติที่ผู้มีชีวิตอยู่สมควรเอาแบบอย่าง โดยมีขั้นตอนการตรวจสอบประวัติชีวิตของพวกเขาอย่างละเอียด และใช้เวลานานมากในการตรวจสอบ มีนักบุญจำนวนหนึ่งต้องใช้เวลาร้อยกว่าปี พระศาสนจักรจึงประกาศการรับรู้ เพื่อยืนยันถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของพวกเขา

การประกาศเป็นนักบุญไม่ได้หมายถึงว่า บรรดาธรรมิกชนจะได้ไปสวรรค์หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการประกาศให้เป็นนักบุญจากพระศาสนจักร เหตุเพราะการได้ไปสวรรค์นั้นเป็นสิทธิ์อำนาจของพระเจ้า ไม่ใช่สิทธิ์อำนาจของพระศาสนจักร

แต่การประกาศยืนยันให้ชีวิตของบุคคลหนึ่งให้เป็นธรรมิกชนนั้น เป็นการยืนยันตามที่แผ่นดินสวรรค์ได้แจ้งลงมาว่า พระศาสนจักรบนโลกได้รับรู้แล้ว จึงประกาศด้วยเสียงอันดังออกไป เพื่อให้แผ่นดินโลกได้โมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้ยืนยันถึงรางวัลสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างดีในสายพระเนตรของพระองค์ คือ ธรรมิกชนได้รับแผ่นดินสวรรค์นิรันดรเป็นรางวัลเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอไฟแห่งการพิพากษาอีก



ระดับการรับรู้และขั้นตอนการตรวจสอบสาส์นจากสวรรค์

กระบวนการรับรู้จะต้องเกิดหลังจากบุคคลนั้นเสียชีวิต จะมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือไม่ก็ได้ แต่จะต้องมีประวัติชีวิตที่ตรวจสอบได้อย่างรอบด้านและมีหลักฐานว่า มีความประพฤติที่ชอบธรรม ซึ่งจะเริ่มจากพยานบุคคลนำไปแจ้งแก่บิชอป แล้วบิชอปพิจารณานำเสนอแก่พระศาสนจักร เพื่อส่งคณะทำงานเข้าตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีสถานะของการตรวจสอบ 4 สถานะ ดังนี้
  1. ประกาศรับรู้ว่าผู้นั้นเป็น "ผู้รับใช้พระเจ้า" (Servant of GOD) หมายถึง สถานะแรกจากแผ่นดินสวรรค์ เพื่อให้พระศาสนจักรบนโลกดำเนินการตรวจสอบ สถานะนี้จะปรากฏทันที เมื่อบุคคลนั้นถูกเสนอด้วยพยานบุคคลว่า มีชีวิตและความประพฤติที่ดีงาม เมื่อยังมีชีวิตอยู่

  2. ประกาศรับรู้ว่าผู้นั้นเป็น "ผู้น่าเคารพ" (Venerable) หมายถึง มีหลักฐานประจักษ์ว่าผู้นั้นมีความประพฤติดีงามและมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจจริง ๆ ก็จะเสนอให้พระสันตะปาปาประกาศคุณความดีให้สาธารณะได้รับรู้

  3. ประกาศรับรู้ว่าผู้นั้นเป็น "บุญราศี" (Blessed) หมายถึง ผู้นั้นได้รับพระพรจากพระเจ้า ซึ่งเครื่องหมายของการที่ผู้นั้นได้รับพร คือ มีปาฏิหารย์อัศจรรย์เกิดขึ้นจากร่างกายที่ตายแล้วของเขา หรือ สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของผู้นั้น โดยมีการพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์จนเป็นที่ประจักษ์แก่พระสันตะปาปาว่า วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ และพระพรที่ว่านั้น ก็คือ ผู้นั้นได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว (มิใช่ผู้ตาย แต่เป็นผู้เป็น)

  4. ประกาศรับรู้ว่าผู้นั้นเป็น "นักบุญ" (Saint) หมายถึง ปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก สามารถพิสูจน์ซ้ำด้วยวิทยาศาสตร์เป็นครั้งที่ 2 จนเป็นที่ประจักษ์ว่า วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ พระศาสนจักรก็จะประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้นั้นเป็นนักบุญ (เป็นธรรมิกชนผู้บริสุทธิ์ และ ไม่ใช่ผู้ตายอีกต่อไป แต่ได้กลับเป็นอยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว)




พระพรแห่งปาฏิหารย์ของพระธาตุที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ไบเบิล มีการเขียนถึงอัศจรรย์จากฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ยังคงสถิตย์อยู่ในร่างกายของผู้ตาย หรือ สิ่งของต่าง ๆ เช่น

1. "เมื่อประกาศกเอลีชาสิ้นชีวิต เขาก็ฝังไว้ ฝ่ายหมู่คนโมอับเคยปล้นแผ่นดินนั้นในฤดูแล้ง อยู่มาเมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป ดูเถิด เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นลงไปแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน" (2 พกษ 13:20-21)

ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าเอลีชาจะตายไปแล้ว แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ายังส่งผลต่อร่างกายของเอลีชา ให้เกิดการอัศจรรย์ได้ ที่พระเจ้ากระทำเช่นนั้น เพื่อยืนยันว่า เอลีชาเป็นผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า (นักบุญ/ธรรมิกชน) ทั้งยังเป็นการ ยืนยันฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่สถิตย์อยู่ในทุกสิ่งในจักรวาลได้ตามพระประสงค์

2. ผ้าเช็ดหน้าของเปาโลซึ่งเป็นหนึ่งในอัครสาวกของพระเยซูก็มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นเช่นกัน “พระเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์พิเศษอาศัยมือของเปาโล จนกระทั่งคนจำนวนมากนำผ้าเช็ดหน้าและผ้ากันเปื้อนที่ได้สัมผัสเปาโลมาวางบนร่างผู้ป่วย เขาก็หายจากโรคภัยและแม้แต่ปีศาจร้ายก็หนีไปด้วย” กิจการ 19:12

3. เงาทอดผ่านของเปโตรก็สามารถรักษาผู้ป่วยบางคนได้ "ประชาชนนำผู้ป่วยมาที่ลานสาธารณะ วางไว้บนที่นอนและแคร่อย่างน้อยเพื่อให้เงาของเปโตรที่เดินผ่านมาทอดปกคลุมผู้ป่วยบางคน" กิจการ 5:15

การอัศจรรย์นั้นล้วนมาจากพระเจ้าทั้งก่อนที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิด และ หลังจากพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าของผู้เป็นมิใช่ผู้ตาย ด้วยเหตุนั้นการอัศจรรย์จึงยังคงมีอยู่มาเสมอจนถึงทุกวันนี้ เพื่อให้มนุษย์ได้สัมผัสถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ร่วมกับมนุษย์ ทรงเป็นบิดาที่สร้างหนทางให้ลูก ๆ เสร็จแล้ว แต่ไม่เคยหยุดที่จะช่วยเหลือลูก ๆ ของพระองค์ในขณะที่กำลังเดินบนหนทางแห่งความรอดนั้น

เปโตร



การขอนักบุญช่วยวิงวอน คือ สิ่งเดียวกับคำว่าอธิษฐานเผื่อ

ในฝ่ายโปรแตสแตนท์จะมีคำว่า 'ขอพี่น้องช่วยอธิษฐานเผื่อ' และ เป็นการขอจากผู้เป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ช่วยอธิษฐานเผื่อ มิได้ขอจากผู้ตาย ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกก็กระทำแบบนั้น และ กระทำในขอบเขตที่กว้างกว่า เพื่อยืนยันถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า

พระศาสนจักรคาทอลิกใช้คำว่า 'ช่วยวิงวอน' ซึ่งเป็นคำไทยที่เก่ากว่าเนื่องจากเผยแผ่เข้ามาตั้งสมัยพระนารายณ์ แต่ก็มีความหมายเดียวกันกับคำว่า 'อธิษฐานเผื่อ' ซึ่งเป็นคำไทยที่ใหม่กว่า

และเหตุเพราะนักบุญได้กลับเป็นผู้เป็นแล้วในแผ่นดินสวรรค์ ดังที่ปรากฏในพระคัมภีร์ว่า "แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ก็เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลียาห์สำแดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์" มัทธิว 17:2-3 และ "ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพ ท่านไม่ได้อ่านพระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านหรือว่า เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และ พระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น" มัทธิว 22:31-32

พระศาสนจักรคาทอลิกในฝ่ายแผ่นดินโลกจึงขอให้เหล่าผู้เป็นในสวรรค์ (คือ นักบุญซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว ช่วยพูดคุย(เหมือนอย่างที่โมเสสและเอลียาห์สำแดงตนด้วยการสนทนา)) กับองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ภาระกิจของสมาชิกที่ยังต้องอยู่ในแผ่นดินโลกสำเร็จลุล่วงไปได้ตามน้ำพระทัย



เราไม่ขอในนามนักบุญแบบที่โปรแตสแตนท์เข้าใจผิด

สืบเนื่องมาจากความเข้าใจผิดเรื่องคำว่า 'ช่วยวิงวอน' และ การละเว้นที่จะอธิบายถึงพระวจนะที่ได้บันทึกถึงผู้เป็นที่อยู่ในสวรรค์ จึงทำให้ภาพของคาทอลิกในความเข้าใจของคนภายนอก เข้าใจว่าเราวอนขอสิ่งต่าง ๆ ในนามของนักบุญ

แท้จริงแล้วพระศาสนจักรคาทอลิกขอทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเพียงพระนามเดียว แต่พระศาสนจักรไม่หลงลืมที่จะขอให้ผู้เป็นในสวรรค์ช่วยอธิษฐานเผื่อ (ช่วยวอนขออีกแรง) แก่พระศาสนจักร เพราะพวกเขายังคงสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่นิรันดร์ "โมเสสและประกาศกเอลียาห์สำแดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์" มัทธิว 17:2-3 ซึ่งเสียงวอนขอของผู้ชอบธรรมในสวรรค์ย่อมมีน้ำหนักในสายพระเนตรของพระองค์



บทสรุป

นักบุญ (ธรรมมิกชน / ผู้บริสุทธิ์) คือ มนุษย์ปุถุชนที่เกิดมาโดยมีบาปกำเนิด แต่พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความเชื่อต่อพระเจ้าจนล้นออกมาที่การประพฤติ กาย วาจา ใจของพวกเขามีความชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ที่เป็นเช่นนั้นได้ เพราะพระจิตเจ้าทรงปกคลุมเหนือเขา และเพราะเขายอมจำนนต่อพระจิตเจ้าด้วยความเต็มใจด้วย

เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว พระศาสนจักรไม่ได้เป็นผู้กำหนดว่าใครจะเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเจ้าเป็นผู้เลือกตามน้ำพระทัย หากมีหมายสำคัญจากสวรรค์เป็นการอัศจรรย์ที่พิสูจน์โดยสมณกระทรวง (ซึ่งประกอบด้วยนักบวชที่มีคุณวุฒิทางวิทยาศาสตร์) จนประจักษ์ได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของพระเจ้าซึ่งวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้แล้วมากกว่า 2 ครั้ง ผู้นั้นก็จะได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญ

ทั้งนี้การประกาศก็เพื่อเป็นการยืนยันกลับอาณาจักรสวรรค์ว่า

แผ่นดินโลกได้รับทราบพระเมตตาคุณของพระเจ้าจากอาณาจักรสวรรค์แล้ว จึงประกาศให้มนุษย์ทุกชนชาติได้เป็นที่รู้ทั่วกัน ให้ร่วมแซ่ซ้องสรรเสริญโมทนาพระคุณความรักของพระเจ้าไปตลอดนิรันดรว่า ผู้ที่มีความชอบธรรมได้รับบำเหน็จของเขาในสวรรค์แล้ว ให้มนุษย์ได้เห็นถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ ให้อัศจรรย์นั้นเป็นพยานถึงพระองค์ตลอดไป และเพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะไม่ย่นย้อท้อในการดี (มีพระคริสต์เป็นแบบอย่าง และมีนักบุญเป็นตัวอย่างผู้คว้าชัยชนะมาได้) จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ความตายมาถึงเพื่อไปรับบำเหน็จในวันหนึ่ง







เรื่องเกี่ยวข้องจากโซเชียล

facebook-logo-svgrepo-com.svg
facebook-logo-svgrepo-com.svg
facebook-logo-svgrepo-com.svg
facebook-logo-svgrepo-com.svg
facebook-logo-svgrepo-com.svg
facebook-logo-svgrepo-com.svg
คลิก  เพิ่มเพื่อน  รับข่าวแวดวงคาทอลิกถึงหน้าจอ